“But it was only fantasy The Wall was too high, as you can see…” . ในชีวิตของใครสักคนที่ต้องเกิดขึ้นมา แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่เขาต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตามคือ ‘ปัญหา’ ในชีวิต ทว่าสิ่งที่จะแตกต่างกันออกไปก็คือวิธีการรับมือปัญหาเหล่านั้น บ้างก็เปลี่ยนให้มันเป็นบทเรียน บ้างก็โยนทิ้งไปในอดีต หรือบ้างก็อาจจะเก็บมันไว้เป็นอิฐอีกก้อนในกำแพง . ภายหลังจากที่สำรวจความทุกข์และแรงกดดันในชีวิตจาก The Dark Side of the Moon (1973) และเสียดสีชนชั้นในสังคมทุนนิยมจาก Animals (1977) วงดนตรีโปรเกรซซีฟร็อคแนวหน้าอย่าง ‘Pink Floyd’ ก็ได้เดินหน้าต่อไปในผลงานชิ้นถัดไปที่ ‘เล่นใหญ่’ กว่าเดิม ซึ่งก็คืออัลบั้มคู่นามว่า ‘The Wall’ ที่ปล่อยออกมาในปี 1979 . นอกเสียจาก The Dark Side of the Moon หรือ Wish You Were Here แล้ว The Wall ก็ถือเป็นผลงานจาก Pink Floyd ที่ได้รับความนิยมและทรงอิทธิพลที่สุดก็ว่าได้ ไม่เพียงแค่มันถูกร้อยเรียงและนำเสนออย่างอัดแน่นผ่านแผ่นเสียงจำนวนสองแผ่น, มีเพลงดังอมตะอย่าง Another Brick in the Wall, Part 2 และ Comfortably Numb หรือมีการแสดงที่มาพร้อมฉากใหญ่โตอลังการ แต่ The Wall ได้ยกระดับความเป็น ‘Concept Album’ ไปให้ถึงขีดสุด ผ่านการเล่าเรื่องราวของตัวละครนามว่า ‘พิงก์’ (Pink) กับเส้นทางชีวิตที่ต้องเผชิญกับปัญหานานารูปแบบ และปัญหาเหล่านั้นก็ได้แปรสภาพกลายเป็น ‘อิฐ’ ที่ท้ายที่สุดจะสะสมกันจนกลายเป็นกำแพงที่ขังตังเขาเอาไว้ทั้งเป็น . ใน The People Music ตอนนี้ เราจะพาไปสำรวจอัลบั้ม The Wall แผ่นที่สอง ตั้งแต่เพลง Hey You ไปจนถึง Outside The Wall ทีละ Track ว่าในแต่ละบทเพลงมีความหมายว่าอะไร มีอะไรซ่อนอยู่ โดยจะเป็นเนื้อหาถัดจากตอนก่อนหน้า (แผ่นแรก) ที่ว่าด้วยชีวิตในวัยเด็กและในวันที่เติบโตเป็น Rockstar . สำหรับแผ่นที่สองนี้ เราจะได้เห็น Pink ดำดิ่งไปในมรสุมชีวิต หวนรำล