Description
ชีวิตในสังสารวัฏนี่เป็นทุกข์ เพราะว่าทุกข์ชีวิตนี่ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ด้วยกายด้วยวาจา ด้วยใจ ทำอย่างไรก็ได้ผลอย่างนั้นน่ะ ล้วนแต่มีผลทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย เจตนาไม่เจตนา ไม่มีเว้นทุกเพศทุกวัย ทำน้อยทำมาก ล้วนมีผลทั้งสิ้น ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงได้ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตราบใดที่ยังอยู่ในวัฏฏะนี่ ยังต้องตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
เพราะฉะนั้น มันมีอยู่ทางเดียวเท่านั้นล่ะ ที่จะให้พ้นทุก์ก็คือ ขจัดสิ่งทีเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ คือกิเลสอาสวะนั่นล่ะ ซึ่งมันบังคับบัญชาเราอยู่ ให้เราเป็นบ่าวเป็นทาสของเค้า ขจัดกิเลสอาสวะได้ หมดสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เศษไม่มีเหลือเลย กายวาจาใจบริสุทธิ์ล้วนๆ ภพที่บริสุทธิ์ ก็จะดึงดูดไป คืออายตนะนิพพาน ซึ่งเป็นเอกันตบรมสุข สุขอย่างเดียวจึงเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะทำในวันนี้น่ะ จึงเป็นกรณียกิจ คือกิจที่จะต้องทำ นอกเหนือจากการทำมาหากินน่ะ ซึ่งเป็นกิจที่ควรทำ เพราะเราจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยปัจจัย ๔ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคเป็นต้น ก็จะได้จากการทำมาหากิน แต่ว่าถ้าจะมัวทำมาหากินอย่างเดียวน่ะ ชีวิตมันก็ไม่สมบูรณ์ มันก็ยังมีทุกข์อยู่ แม้จะมีโภคทรัพย์สมบัติ มากมายก่ายกอง อย่างที่คนมีหรือย่างที่คนอื่นไม่มีก็ตาม มันก็ยังมีทุกข์ ยังไม่สมบูรณ์ แต่ชีวิตเราจะต้องดำรงอยู่ได้ก็ด้วยสิ่งเหล่านั้น นี่ปัจจัย ๔ แต่ชีวิตที่มีอยู่นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เราต้องจับหลักของชีวิตตรงนี้ให้ได้ เศรษฐกิจกับจิตใจมันต้องไปด้วยกัน ทำมาหากินเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ๆ ก็เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่ว่าจะเป็นใครก